โดย อาจารย์นายแพทย์อานนท์ วรยิ่งยง
ขนาดที่แน่นอนของปัญหาทางสุขภาพอันเนื่องจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ทั่วโลกยังไม่ได้มีใครแสดงไว้แต่ก็พบว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญของสาธารณสุข ในปัจจุบันพบว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดได้แก่ เอดส์, ไวรัสตับอักเสบบี, แผลริมแข็ง, หนองใน, หนองในเทียม, แผลริมอ่อน, เริม
การเคลื่อนย้ายประชากรกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การเคลื่อนย้ายประชากรเป็นปัจจัยหนึ่งในการแพร่การกระจายเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้เดินทางอาจถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนย้ายประชากร ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และพากลับไปยังประเทศบ้านเกิดของตัวเอง ตัวอย่างเช่น การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในประเทศทางยุโรปตะวันออกในปี ค.ศ. 1980 ทำให้เกิดการคลื่อนย้ายของประชาการจำนวนมากข้ามแนวชายแดนระหว่างประเทศ เช่นในประเทศตุรกี มีการเคลื่อนย้ายประชากรจากกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออกและสหภาพโซเวียตเก่าเป็นจำนวนมาก ซึ่งพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของประชาการในประเทศตุรกีด้วย หรือพบเช่นเดียวกันในกรณีของผู้หญิงที่มาจากสหภาพโซเวียตเก่าที่อพยพเข้าสู่ประเทศยุโรปใต้
การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศในปัจจุบันพบว่ามีส่วนในการทำให้เกิดการกระจายของเชื้อเอดส์ไปทั่วโลก ตัวอย่างเช่นมีชาวออสเตรเลียประมาณ 5 แสนคนต่อปีที่มีประวัติมีเพศสัมพันธ์กับชาวฟิลิปปินส์และไทย แล้วพบว่ามีจำนวนมากที่ไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนั้นยังพบว่าการติดเชื้อไวรัสเอดส์อย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มชาวออสเตรเลียที่ไม่ได้มีมาตรการป้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กับหญิงขายบริการทางเพศในปะรเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อมูลจากเมือง Victoria ในปี ค.ศ. 1991 พบว่าร้อยละ 44 ของผู้ป่วยที่เป็นโรคหนองในเป็นผู้ชาย ซึ่งได้รับเชื้อหนองในมาจากต่างประเทศ โดยพบว่าผู้ที่ขายบริการทางเพศทั้งหญิงและชาย จะแพร่กระจายเชื้อได้ประมาณร้อยละ 68 และการมีประวัติว่าเคยเป็นโรคหนองในหรือโรคแผลริมอ่อน (chan-croid) มาก่อนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไวรัสเอสด์ ส่วนปัจจัยร่วมอื่นของการแพร่กระจายเชื้อไวรัสเอสด์ได้แก่ การเป็นหูดหรือเริมที่บริเวณอวัยวะเพศซึ่งพบได้บ่อยในประเทศออสเตรเลีย
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ระหว่างเดินทาง
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถือเป็นโรคประจำถิ่นในประเทศกำลังพัฒนาในหลายประเทศ โดยมีเชื้อมากว่า 25 ชนิด ที่สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ ผู้เดินทางหรือนักท่องเที่ยวมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในจุดหมายปลายทางยอดนิยมซึ่งบางแห่งมีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงจะมากสุดในนักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางที่มีจุดมุ่งหมายทางเพศ (sex tourist) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ซึ่งต้องการมีประสบการณ์แปลกใหม่และการผจญภัย แต่การรับรู้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่ำทำให้ไม่ได้รับความสนใจจากผู้เดินทางส่วนใหญ่โดยเฉพาะการรับรู้ความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคเอดส์
มีการศึกษาหลายการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่ามีนักท่องเที่ยวร้อยละ 20-70 เท่านั้นที่ใช้ถุงยางอนามัยซึ่งทำให้เป็นสาเหตุที่สำคัญของการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในนักเดินทางท่องเที่ยว (มีประมาณร้อยละ 2-10) และเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่มีนักเดินทางท่องเที่ยวระหว่าประเทศจำนวนมากที่ไม่รู้ตัวว่าติดโรคทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากไม่มีอาการ และนำโรคดังกล่าวกลับมาแพร่ให้ผู้อื่นต่อเมื่อกลับมายังประเทศตัวเอง การกระทำบางอย่างของนักเดินทางเท่องเที่ยวก็มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี, เอดส์, ซิฟิลิส ได้เช่น การฝังเข็ม (acupuncture), การสัก (piercing and tattoo)
ตัวอย่างของการแพร่กระจายของเชื้อสายพันธุ์ที่ดื้อยาจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งโดยนักท่องเที่ยวเช่น เชื้อโกโนเรียที่ดื้อต่อยาควิโนโลน (Quinolone-resistant Neisseria gonorrhoea) ซึ่งพบบ่อยในทวีปเอเชียนั้น พบครั้งแรกจากนักท่องเที่ยวที่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันสายพันธุ์นี้พบอย่างกว้างขวางในแคลิฟอร์เนีย และฮาวาย โดยอุบัติการณ์ของเชื้อที่แคลิฟอร์เนียเพิ่มจากร้อยละ 0.28 ระหว่างปี ค.ศ. 1999-2001 เป็นร้อยละ 2.1 ในปี ค.ศ. 2002 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีการข้ามระหว่างประเทศโดยนักเดินทางท่องเที่ยว
ในแถบแอฟริกา พบเชื้อ C Trachomatis ร้อยละ 13-32 ในกลุ่มผู้ขายบริการทางเพศ ส่วน lymphogranuloma venereum immunotypes พบร้อยละ 7-19 ในกลุ่มของผู้ที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ ในขณะที่เอเชียพบถึงร้อยละ 9 สำหรับซิฟิลิส เมื่อดูจากผลทางภูมิคุ้มกัน (serologic studies) พบร้อยละ 5-55 ในแถบแอฟริกาและเอเชีย และพบว่าผู้ขายบริการทางเพศในแถบเอเชียเป็นพาหะร้อยละ 6.1-17.9
สำหรับเชื้อไวรัสเอดส์ พบมีรายงานมากกว่า 160 ประเทศ โดยพบว่ามีความชุก 18-43 ต่อแสนประชากรในทวีปแถบแอฟริกาและ 61-70 ต่อแสนประชากรในแถบแคริบเบียน
ดังนั้นการขาดข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และมาตรการป้องกันในกลุ่มนักท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสของการมีเพศสัมพันธ์ในต่างแดนมากขึ้นซึ่งทำให้เกิดการแพร่กระจายมากขึ้น
พฤติกรรมทางเพศระหว่างการเดินทาง
เป็นการยากที่จะบอกได้ตัวเลขที่แท้จริงของการมีเพศสัมพันธ์ในต่างแดนของนักท่องเที่ยวเป็นเท่าใด เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะให้ข้อมูลด้านนี้น้อยมาก พบว่ามีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มีจุดมุ่งหมายในเรื่องของกามารมณ์และการแสวงหาประสบการณ์แปลกใหม่ทางด้านเพศ รวมถึงความแปลกใหม่ทางวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ดังนั้นจึงพบได้บ่อยว่านักท่องที่ยวเหล่านี้ถูกครอบงำ หรือถูกโน้มน้าวที่จะทำให้มีความสัมพันธ์ทางเพศได้ง่าย โดยพบว่าระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว นักเดินทางท่องเที่ยวทั้ง 2 เพศต่างก็มีแนวโน้มที่จะถูกดึงดูดสู่เพศตรงข้ามได้มากว่าเมื่ออยู่ที่ประเทศของตน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการที่จะได้รับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาด้วย
พฤติกรรมทางเพศที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางสามารถเปลี่ยนความเสี่ยงของการแพร่กระจายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้รวมถึงมีผลต่อระบาดวิทยาของโรคติดต่อทางเพศสัมันธ์ได้ด้วยในการศึกษาของ Hattich และคณะ พบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวสวิสร้อยละ 30 ที่ตอบแบบสอบถามแล้ว พบว่าร้อยละ 5-10 มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงขายบริการทางเพศท้องถิ่นที่เดินทางไปและในอีกการศึกษาหนึ่งที่ทำในคนหนุ่มสาวชาวออสเตรเลียที่เดินทางมาเมืองไทย เพื่อดูความตั้งใจของการมีเพศสัมพันธ์ระหว่าการเดินทางท่องเที่ยว พบว่าเพียงร้อยละ 34 เท่านั้นที่ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะไม่มีเพศสัมพันธ์ หรือในอีกการศึกษาหนึ่งที่ศึกษาถึงพฤติกรรมทางเพศและความเสี่ยงของการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในนักเดินทาง/ท่องเที่ยวที่มาจากฮองกง พบว่าร้อยละ 44 (168/383) มีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าระหว่างการเดินทาง และมีจำนวนร้อยละ 37 (139/376) ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย โดยส่วนใหญ่ของกลุ่มนักเดินทางที่มีความเสี่ยงสูงเป็นกลุ่มวัยกลางคนและแต่งงานแล้ว
กลยุทธ์การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ให้ผู้เดินทางท่องเที่ยว
ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าการใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐานเป็นวิธีป้องกันโรคติดต่อทางเพศมัมพันธ์รวมถึงโรคเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคำแนะนำให้ผู้เดินทางท่องเที่ยว เพศชายควรต้องมีถุงยางอนามัยติดตัวว้และใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์, และควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าระหว่างการเดินทาง ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสเข็มและกระบอกฉีดยาที่ไม่สะอาดหรือไม่ได้ปลอดเชื้อ (non sterile) เช่นหลีกเลี่ยงการทำผ่าตัด, การทำหัตถการในช่องปากที่ไม่แน่ใจว่าใช้อุปกรณ์ที่ปลอดเชื้อหรือไม่, หลีกเลี่ยงการฝังเข็ม (acupuncture), การสัก (piercing and tattoo), หรือการเจาะหู ควรมีการให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไป นักเรียน ผู้อพยพ และผู้เดินทางหรือท่องเที่ยวทุกคน เกี่ยวกับการป้องกันการติดต่อโรคทางเพศสัมพันธ์ สำหรับแพทย์ผู้ดูแลผู้ที่จะเดินทางควรพูดคุยกับผู้เดินทางเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องดังกล่าวก่อนเดินทางด้วย
Referrence : Internation travel and sexually transmitted diseases โดย Ziad A. Memish, Abimbola O.Osoba, Travel Medicine and infectious Disease (206) 4, 86-93
Cover photo credit : Pixabay License / derneuemann